5 เทรนด์ AI มาแรง ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

องค์กรขนาดใหญ่เกือบทั่วโลก มีการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เข้าไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยใช้ระบบเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทและช่วยส่งเสริมในด้านธุรกิจ ลดอุปสรรคในการทำงาน สามารถลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนลงได้ ทำให้องค์กรขนาดใหญ่ได้ประโยชน์มากขึ้น ทั้งในแง่ของเวลา ทรัพยากร และผลลัพธ์ของงาน อีกทั้งยังสามารถระบุความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่ง AI จะช่วยจับข้อมูลให้ตรงตามกลุ่มความสนใจของผู้บริโภค เป็นการประมวลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ในอนาคต AI จะมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น วันนี้เราจะมาเล่าถึง 5 เทรนด์ AI ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม มีดังนี้

1.Voice is the new hand

เสียงหรือคำพูดของเราจะเป็นเหมือนแขนอีกข้างที่สามารถสั่งการสิ่งต่างๆได้แบบไร้การสัมผัส เรียกว่า 

“การใช้งานคำสั่งด้วยเสียง”  ข้อมูลเสียงจะทำให้เราสั่งงานระบบต่างๆ พร้อมยืนยันตัวตน และแจ้งตำแหน่งของเราด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดการใช้งานใหม่ๆ และสามารถนำไปปรับใช้กับเทคโนโลยีต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยีอัจฉริยะนี้มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย

            ตัวอย่างที่เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ “Google Assistant Speaker” ที่สามารถเชื่อมต่อและสั่งงานกับระบบการทำงานต่างๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเข้าร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี เครื่องปรับอากาศ หลอดไฟและตู้เย็น ที่ทำให้บ้านธรรมดาก็จะกลายเป็น
บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ลองคิดดูสิว่าถ้าเวลาที่ต้องการรู้ว่าในตู้เย็นของคุณเหลือหรือขาดอะไรบ้างเพียงแค่พูดผ่านตัวรับเสียงคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดตู้เย็นหรือแม้แต่การเปิดไฟคุณก็แค่สั่งการว่าเปิดไฟไฟก็จะติดขึ้นโดยไม่ต้องกดสวิทซ์อีกต่อไปซึ่งมันก็เป็นตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว

ภาพประกอบจาก: https://www.technow.co.th

2.Computer Generated Content

การสร้างคอนเทนต์หรือเนื้อหาด้วย AI ที่เกิดจากเทคโนโลยี Natural Language Generation หรือ NLG ระบบที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ โดยปัจจุบันสามารถสอนให้ AI คิดเนื้อหาขึ้นมาเอง เพื่อตอบโต้ความต้องการของมนุษย์แบบอัตโนมัติ โดยการสร้างคอนเทนต์หรือเนื้อหาด้วยAI ก็คือการออกแบบ Software หรือ Service ที่มีความสามารถในการทำงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ คิดและเขียนคอนเทนท์ในหัวข้อต่างๆได้สละสลวย และมีความคิดสร้างสรรค์ใกล้เคียงมนุษย์  ฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว และดูซับซ้อน แต่ความจริงแล้วนั้น E-Commerce หลาย ๆ แบรนด์เริ่มนำไปใช้ และผู้อ่านก็แทบแยกไม่ออกเลยว่า คอนเทนต์นี้มาจากมนุษย์ หรือว่า AI

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Frase.io ได้มีการใช้ AI มาช่วยเขียนบทความ หรือ Content Creation ที่มีความสามารถในการ Research Content ที่มีคุณภาพ ที่ดีจากทั่วโลกตาม Keywords ที่เรากำหนด และใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาออกมา 2 แบบได้แก่ 

1.Content Briefs คือความสามารถสร้างหัวข้อคอนเทนท์ เพื่อนำไปบรีฟทีม Creative หรือ Copywriter ให้เขียน Content ตามโครงที่ Frase.io แนะนำ

2.My Content คือการนำเนื้อหาจากแหล่งต่างๆมาประกอบเป็น Content โดยใส่ Credit Source ให้ครบถ้วน

3.Natural Language Understanding

จะถูกใช้ร่วมกับ IoT (Internet of things) ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในอนาคต AI จะสามารถเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ต้องการ ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่ง แต่สามารถคาดเดาและเข้าใจความต้องการของเราที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ ประสบการณ์ที่จะได้จาก IoT (Internet of things)  จะมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น กระจกอัจฉริยะที่สามารถจำลองและออกแบบการแต่งหน้าให้เราโดยไม่ต้องแต่งหน้าจริงซึ่งตัวกระจกจะจำลองการแต่งหน้าออกมาให้เราได้ดูก่อนและยังสามารถแนะนำยี่ห้อเครื่องสำอางที่เหมาะสมกับเรารวมไปถึงการแนะนำการสั่งซื้อเครื่องสำอางที่เกิดจากพฤติกรรมหรือคำสั่งที่เราเคยใช้ในการแต่งหน้าครั้งนั้นๆ เป็นต้น

รูปภาพประกอบจาก : https://news.trueid.net 

4.Computer Vision

การวิเคราะห์ภาพเรียลไทม์จะถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยสามารถเพิ่มขีดความสามารถของกล้อง CCTV ที่มีอยู่แล้ว เทคโนโลยี Computer Vision นั้น เป็นแขนงหนึ่งของวิทยาการปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ซึ่งทำการฝึกฝนคอมพิวเตอร์ และระบบให้สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อข้อมูลภาพได้อย่าง ชาญฉลาด ด้วยภาพดิจิทัลจากกล้องถ่ายภาพและวิดีโอต่าง ๆ ให้มีความสามารถเป็น AI Vision Analytic ตรวจจับวิเคราะห์ภาพเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจำแนกบุคคลหรือสิ่งของ ก็สามารถทำได้ไม่ยาก 
ตัวอย่างที่เราสามารถเห็นได้ทั่วไปในสมัยนี้คือ โปรแกรม จดจำใบหน้าของ Smart Phone ที่สามารถจำแนกใบหน้าได้ว่าใครเป็นเจ้าของเพื่อยืนยันตัวตนในการปลดล็อคการเข้าใช้งานมือถือ เป็นต้น

รูปภาพประกอบจาก : https://www.thaimobilecenter.com

5.ระบบการประมวลผลแบบใหม่

ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้กันว่าเทคโนโลยีนั้นได้พัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบจากเมื่อก่อนและยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเราจะเห็นได้ว่าในทุกๆปีนั้นจะมีการพัฒนาระบบการประมวลผลใหม่ๆออกมาเสมอไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยที่น่าสนใจเลยก็อย่างเช่น ฮาร์ดแวร์ที่เป็นหัวใจหลักของ Computer อย่าง CPU ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกๆปีซึ่งเราจะเห็นรุ่นใหม่ๆที่ออกมาอยู่เสมอและมักจะมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นเก่าหลายเท่าตัว 

ตัวอย่างเช่น Quantum Computer ที่กำลังจะยกขีดความสามารถของ AI ไปแบบก้าวกระโดด เนื่องจากศักยภาพในการประมวลผลของ AI ขึ้นอยู่กับความสามารถของฮาร์ดแวร์ และ Quantum Computer คือคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในเวลาอันรวดเร็วกว่าคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปอย่างมหาศาลจนทำให้เราแถบจะนึกไม่ออกเลย ว่า AI นั้นจะพัฒนาไปไกลขนาดไหนกัน

รูปภาพประกอบจาก : https://techsauce.co

ทั้ง 5 เทรนด์ ที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นว่า  AI มีแน้วโน้มพัฒนาขึ้นไปอีกอย่างไร้ขีดจำกัดซึ่งเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับภาคธุรกิจที่จะนำ AI มาปรับใช้และพัฒนาธุรกิจนั้นให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

แหล่งข่าวจาก : https://shorturl.asia/yhSW9


ถ้าไม่อยากพลาดข้อมูลดีๆ กดติดตาม เพจ Unicorn House ไว้ตอนนี้เลย !🦄✨
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือปรึกษาเรื่องวางแผนธุรกิจได้ที่
💚 LINE : @unicornhouse (อย่าลืมใส่ @ ข้างหน้า)
หรือคลิกลิงค์นี้  ☞  https://bit.ly/3aheB3G
📞 Tel : 02-077-0323
🌐 https://unicornhouse.me/